Categories
Article Automation News

ระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ – RPA ตัวเร่งธุรกิจ E-Logistics เปลี่ยนต้นทุนเป็นกำไร

Robotic Process Automation (RPA) เป็นซอฟต์แวร์ที่เติบโตมากที่สุด เมื่อเทียบกับซอฟต์แวร์ระดับองค์กร RPA คือ หุ่นยนต์ที่อยู่ในรูปแบบของซอฟต์แวร์เหมาะสำหรับงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ มีปริมาณมาก ๆ ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว

ขณะที่รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนหลายบริษัทในหลากอุตสาหกรรมเองก็กำลังเร่งปรับตัวขนานใหญ่เพื่อรับมือกับความท้าทายทางด้านเทคโนโลยีที่ถาโถมมาอย่างไม่หยุดยั้ง บางแห่งเริ่มนำระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วย transform ธุรกิจให้อยู่รอด ลดต้นทุนในกระบวนการต่าง ๆ ภายในองค์กร ตลอดจนนำมาเสริมการให้บริการ อาทิ Big data, Internet of Things (IoT), Cloud, Artificial intelligence (AI), Blockchain ฯลฯ

โดยเฉพาะธุรกิจการขนส่งและโลจิสติกส์นั้นมีภาพรวมการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของตลาด e-Commerce ที่มีผู้เล่นรายใหม่ ตบเท้าเข้ามายังตลาด ETDA เคยคาดการณ์มูลค่า e-Commerce ของกลุ่มอุตสาหกรรมการขนส่งอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท โดยอยู่ในลำดับที่ 5 จาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดสำหรับปี 2561 แสดงให้เห็นถึงโอกาสการเติบโต และศักยภาพในการขยายตัวของตลาดที่ยังเปิดกว้างแก่ผู้ประกอบการทางด้านนี้หากมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เปลี่ยนผ่านไปสู่ E-Logistic

RPA_E-Logistics

ข้อมูลจาก PWC เผยว่า Software เป็นหนึ่งเทรนด์ที่สำคัญของการทำธุรกิจด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ (Transport & Logistics) เพราะช่วยเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานภายใน ช่วยลดต้นทุน และสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับธุรกิจในระยะยาว โดยใช้พื้นฐานมาจากเทคโนโลยีกลุ่ม AI, IoT, Big Data และ Blockchain ซึ่งประกอบด้วย 5 โซลูชั่นสำคัญที่ช่วยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

  • โซลูชั่นระบบขนส่งอัจฉริยะ (Intelligent Transport System)
  • โซลูชั่นการคาดการณ์เพื่องานซ่อมบำรุงและตรวจสอบสภาพแวดล้อมด้วยโดรน (Predictive Maintenance and Drone Supervision)
  • โซลูชั่นระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ (Robotic Process Automation หรือ RPA)
  • โซลูชั่นบล็อกเชนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง (Blockchain DLT Solutions)
  • โซลูชั่นปัญญาประดิษฐ์ (AI Solutions)

ซึ่งเทคโนโลยีขั้นแรกที่หลายองค์กรนำมาใช้เป็นกลยุทธ์แรก ๆ เพื่อเปลี่ยนผ่านการทำงานภายในสู่การเป็นผู้ให้บริการ E-Logistic สมัยใหม่ ก็คือ RPA (Robotic Processing Automation) เพราะเป็นการเปลี่ยน ต้นทุน ผสานรวมระบบการทำงาน และพัฒนา workforce ไปสู่การสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับองค์กรในระยะยาวได้ บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชั่น RPA มีแนวทางการปรับใช้ RPA ให้แก่องค์กรด้านโลจิสติกส์มานำเสนอ ดังนี้

แนวทางการปรับใช้ RPA เพื่อดำเนินธุรกิจการขนส่งที่น่าสนใจ

กระบวนการเรียกเก็บเงิน หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการดำเนินธุรกิจคือการได้รับเงินโดยเร็วที่สุดหลังจากงานสำเร็จลุล่วงแล้ว โดยปกติขั้นตอนในการเรียกเก็บเงินมีความซับซ้อนและใช้หลายระบบในการทำงาน ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้า ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ RPA จะช่วยเชื่อมต่อระบบการทำงานทั้งหมดเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ และส่งเอกสารใบแจ้งหนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียกเก็บเงินให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ใช้ปรับกระบวนการสั่งซื้อสินค้า และการชำระเงินให้เป็นแบบอัตโนมัติ หลายบริษัทอาจยังใช้กระบวนการเดิม ๆ ในขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้า เช่น ป้อนข้อมูลของลูกค้าแบบ manual ด้วยประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ RPA จะช่วยเชื่อมโยงฐานข้อมูลของลูกค้า ประมวลผลการเบิกจ่ายเงิน ส่งอีเมลยืนยัน และยื่นคำสั่งซื้อแบบอัตโนมัติ

เชื่อมต่อซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ RPA เข้ากับพอร์ทัลลูกค้า เพิ่มความเร็วการออกใบแจ้งหนี้ ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลซ้ำ ๆ บนระบบ หรือแนบข้อมูลเข้าไปกับใบแจ้งหนี้ด้วยตนเองอีกต่อไป สามารถใช้ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ RPA ช่วยดึงข้อมูลพร้อมทั้งแนบไฟล์ POD ที่สแกนเรียบร้อยแล้วไปพร้อมกับใบแจ้งหนี้ได้โดยอัตโนมัติ และสามารถอัพเดตข้อมูลดังกล่าวบนพอร์ทัลลูกค้าภายในไม่กี่วินาทีแทนที่แบบเดิมที่จะต้องเสียเวลาเป็นวัน ๆ

เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารของลูกค้าด้วยคำสั่งซื้อแบบอัตโนมัติ และ ช่วยติดตามสินค้าในคลัง ใช้ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์ RPA เพื่อช่วยตรวจสอบข้อมูลการจัดส่งสินค้า/เว็ปไซต์ เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง และตรงกัน โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลคำสั่งซื้อในระบบการจัดการคลังสินค้า ช่วยให้สามารถติดตามและตอบสนองกับลูกค้าได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น

RPA System
ตัวอย่าง ภาพระบบ RPA ที่เหมาะแก่ธุรกิจการขนส่งและโลจิสติกส์

ข้อมูลจาก Gartner ชี้ว่า Robotic Process Automation (RPA) เป็นซอฟต์แวร์ที่เติบโตมากที่สุดถึง 63% เมื่อปี 2561 และคาดการณ์ปีนี้จะมีมูลค่าราว 1.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 4 หมื่นล้านบาท) เมื่อเทียบกับซอฟต์แวร์ระดับองค์กร RPA คือ หุ่นยนต์ที่อยู่ในรูปแบบของซอฟต์แวร์เหมาะสำหรับงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ มีปริมาณมาก ๆ ต้องการความแม่นยำและรวดเร็ว เช่น งานทางด้านป้อนข้อมูลเข้าระบบ งานบัญชี เป็นต้น เพราะ RPA มีความสามารถในการจัดการข้อมูลจำนวนมากจึงเป็นทางเลือกแรกที่ตอบโจทย์ธุรกิจประเภทนี้เนื่องจากจะเข้าไปช่วยจัดทำและเปลี่ยนแปลงข้อมูลขั้นพื้นฐาน อาทิ เอกสารพวกใบวางบิล ใบกำกับสินค้า รวมไปถึงกระบวนการรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า และการตรวจสอบการบันทึก พวกใบสั่งซื้อสินค้า หรือเอกสารทางด้านกฎหมาย เป็นต้น

ปัจจุบันมีธุรกิจคนไทยที่นำ RPA มาใช้อย่างเต็มรูปแบบในเชิงปฏิบัติการแล้ว คือ บริษัท ซีทีไอ โลจิสติกส์ ที่นำระบบนี้มาใช้เปลี่ยนโฉมการทำงานของคน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานควบคู่ไปกับการลดต้นทุนด้านการดำเนินงานทางด้านเอกสารภายใน ช่วยให้กระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ RPA ยังช่วยให้พนักงานมีเวลาเพิ่มขึ้น สามารถไปทำงานในเชิงคิดวิเคราะห์หรืองานที่เพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรได้ ซึ่งองค์กรจะได้รับประโยชน์ทั้งในด้านคุณภาพของงานจากบุคลากรที่มีทักษะ และปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจาก RPA ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีศักยภาพได้อีกด้วย

RPA_Logistics

นอกจากการลงทุนนำโซลูชั่น RPA มาใช้เพื่อ transform ธุรกิจแล้ว ผู้บริหารควรมีการวิเคราะห์ ออกแบบและวางแผนล่วงหน้า หรือปรึกษาบริษัทผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยให้การนำซอฟต์แวร์ดังกล่าวมาปรับใช้กับเนื้องานของธุรกิจได้อย่างเหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพงานที่มีอยู่ในขณะเดียวกันก็แบ่งเบาภาระงานที่เคยต้องใช้แรงงานมนุษย์ในการปฏิบัติการเป็นหลัก สอดคล้องกับข้อสรุปของเหล่า CEOs ในแวดวงโลจิสติกส์ที่ตอกย้ำถึงทิศทางของการดำเนินธุรกิจวันนี้ว่า ควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ (Operational Efficiencies) เป็นลำดับแรกสูงถึง 71%

ดังนั้นบริษัทที่ควรนำระบบอัตโนมัติ RPA เข้ามาประยุกต์ใช้กลุ่มแรก ๆ คือ บริษัทที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาของระบบงานหลังบ้าน มีต้นทุนจากการจ้างแรงงานจากภายนอก และต้องการเปลี่ยนต้นทุนให้ย้อนกลับมาเป็นกำไรนั่นเอง

 

บทความโดย: บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

Categories
News

ABB พัฒนาหุ่นยนต์ทำงานเคียงข้างมนุษย์ในโรงพยาบาล

การพัฒนาหุ่นยนต์ไม่ได้หยุดแค่สำหรับโรงงานหรือสายการผลิตเท่านั้น แต่ในปัจจุบันหุ่นยนต์สำหรับภาคงานบริการหรือกิจกรรมอื่น ๆ ได้เพิ่มความสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะในกิจกรรมที่ต้องการความแม่นยำฉับไว อย่างเช่นงานในโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบัน ABB ได้มีการทดลองใช้ YuMi หุ่น Cobot ชื่อดังกับสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลแล้ว

Categories
News

INDUSTRY TREND: WHAT IS A SMART CITY? เล่าเรื่องเมืองอัจฉริยะ

กล่าวให้สั้น เมืองอัจฉริยะ หรือ smart city ก็คือเมืองที่ถูกบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาด ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบดูแลพื้นที่ได้แบบ real-time ส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและลดค่าใช้จ่ายด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยี เป็นข้อได้เปรียบสองประการสำคัญของความเป็นเมืองอัจฉริยะ

smart city 1
Big Data, machine learning and Internet of Things are incorporated in numerous segments of smart cities which make them more friendly and liveable towards people living in it. ( Source: Deposit Photos )

กล่าวให้ง่าย เมืองสมาร์ทคือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างชาญฉลาดด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้งหมดของแนวคิดยอดนิยม เช่น Big Data, machine learning และ Internet of Things (IOT) ถูกบรรจุไว้ในหลายๆ ส่วนของเมือง สร้างความเป็นมิตร น่าอยู่และสะดวกสบายมากขึ้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง

ข้อมูลจากเว็บไซต์การศึกษาด้าน IT, Technopedia เมืองอัจฉริยะคือการมอบตำแหน่งเมืองที่รวมเอาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของการบริการภายในเมือง หรือ urban services เช่น ด้านพลังงาน การขนส่งและสาธารณูปโภค เพื่อลดการใช้ทรัพยากร ความสิ้นเปลืองและค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยเป้าหมายสำคัญของ Smart City คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของพลเมืองด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

Dubai’s smart city infrastructure

มีหลายประเทศที่กำลังสำรวจ-ศึกษาแนวความคิดนี้ และได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ดูไบได้ลงทุนกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปตามความคิดริเริ่ม ‘‘Smart Dubai’ ที่ประกาศในปี 2013 โดย H. H. Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum รองประธานและนายกรัฐมนตรีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และผู้ปกครองนครดูไบ เป็นไปเพื่อเปลี่ยนดูไบไปสู่ ‘smart city’

ดูไบมีเป้าหมายที่จะเป็นเมืองอัจฉริยะแห่งแรกของโลก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ดูไบจะเปิดตัวบริการอัจฉริยะที่น่าทึ่งมากมาย รวมถึงแอพอัจฉริยะของรัฐบาลดูไบที่เปิดตัวในชื่อ ‘Dubai Now’ ด้วยความช่วยเหลือของแอพนี้ชาวนครดูไบสามารถชำระค่าไฟฟ้า จองรถแท็กซี่ ติดตามพัสดุ ค้นหาตู้เอทีเอ็มใกล้เคียง รายงานการละเมิดกฎหมายต่อตำรวจดูไบ แม้แต่การติดตามสถานะวีซ่า ทั้งหมดนี้ในแอพเดียวต่อจากนั้น ดูไบได้เปิดตัวสถานีตำรวจอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้คนสามารถเข้ามาขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ปกติ เปิดให้บริการประชาชนแบบ 24/7: 24 ชั่วโมง 7 วัน โดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ประจำสถานี โดยที่ประชาชนสามารถรายงานเหตุอาชญากรรม เหตุการณ์การจราจร สิ่งของสูญหายและอื่น ๆ ได้เหมือนไปแจ้งความตามปกติ เมื่อเข้าไปในสถานี ผู้มาติดต่อจะถูกนำไปยังห้องส่วนตัวที่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่

Smart City 2

Barcelona’s smart systems

เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน วางแผนที่จะประหยัดเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปีในภาคพลังงานด้วยการติดตั้งระบบอัจฉริยะต่าง ๆ เช่น ไฟถนนอัจฉริยะ (smart street lighting) ไฟถนนจะทำงานร่วมกับระบบเซ็นเซอร์ในการทำงานยามค่ำคืน คอยตรวจจับความเคลื่อนไหวภายในเมือง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย (ในการจ้างเวรยามหรือจ่ายค่าล่วงเวลา) และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ชาวเมืองจะสามารถตรวจหาจุดจอดรถได้อย่างสะดวกสบายโดยการรับข้อมูลแบบ real-time ผ่านแอพ เทคโนโลยีนี้เป็นไปได้ด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่จอดรถ หรือ parking sensors ที่ใช้ประโยชน์จากแสงไฟและเครื่องตรวจจับโลหะเพื่อตรวจจับว่ามีที่ว่างหรือไม่

ส่วนระบบอัจฉริยะที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ระบบเซ็นเซอร์ขยะ หรือ garbage sensor

ในกรณีนี้ถังขยะจะเป็นเหมือนที่ดูดฝุ่นที่ดูดขยะทางผ่านท่อใต้ดิน กระบวนการอัตโนมัติที่เป็นนวัตกรรมนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและยังช่วยลดมลพิษทางเสียงของรถขนขยะ นี่เป็นเพียงคุณสมบัติอันชาญฉลาดบางส่วนที่เมืองต่าง ๆ นำมาใช้เพื่อเปลี่ยนนครธรรมดาให้เป็นเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ทั่วโลกมีหลายประเทศที่ใช้บริการอัจฉริยะและสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ หลากหลายภาระกิจที่ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้งหมดมีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานหลักมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืนสำหรับประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่

แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมืองอัจฉริยะคืออนาคต!

barcelona Smart City

Categories
News

EEC เตรียมคลอดผังเมืองใหม่!

ภายใต้ความขัดแย้งและแตกแยกของผู้คนในพื้นที่ EEC และผู้ออกนโยบาย ภาครัฐเตรียมผลักดันการวางผังเมืองใหม่สำหรับพื้นที่ไข่แดงของประเทศไทย 4.0 อย่าง EEC หรือระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกให้มีความชัดเจน เร่งเดินหน้าหวังชิงชัยดึงดูดการลงทุน

Categories
News

ก.อุตฯ เซ็น MOU เกาหลี พัฒนาอุตสาหกรรม 4.0

ก.อุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงานของประเทศเกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระดับหน่วยงาน จัดตั้งความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนการลงทุนและความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0

อุตสาหกรรม 4.0 , กระทรวงอุตสาหกรรม , MOU

รายงานข่าวจากระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ด้านความร่วมมืออุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองต่ออุตสาหกรรม 4.0 ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นางยู เมียง-ฮี รัฐมนตรีว่าการด้านการค้า กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน สาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกับกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงานของประเทศเกาหลี ลงนามบันทึกความเข้าใจระดับหน่วยงาน (MOU) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ต่อยอดเพิ่มเติมจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี และ ความร่วมมือประเทศลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ในอันที่จะเชื่อมโยงนโยบาย Thailand 4.0 ของไทย กับนโยบายนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy – NSP) ของเกาหลีที่มีเป้าหมายในการเพิ่มพูนความสัมพันธ์กับอาเซียนเป็นรายประเทศ เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม ส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมของเกาหลี อาทิ หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ เศรษฐกิจชีวภาพ (เคมีชีวภาพ ชีวเภสัชภัณฑ์) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้า และ ยานยนต์สมัยใหม่ เป็นต้น

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา อาเซียนและเกาหลีมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของเกาหลีรองจากจีน มีประเทศไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 5 ของสมาชิกอาเซียนกับเกาหลี และเป็นประเทศที่นักลงทุนเกาหลีเข้ามาลงทุนโดยตรงเป็นอันดับที่ 8 ของอาเซียน จึงมีโอกาสอีกมากที่ประเทศไทยและเกาหลีจะพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ ระหว่างกัน โดยภายใต้บันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างทั้งสองฝ่าย หรือ Korea-Thailand Joint Working Group on Industry 4.0 Cooperation เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้การดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีประธานร่วมของฝ่ายไทย คือ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และฝ่ายเกาหลี คือ อธิบดีสำนักความร่วมมือการค้า ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐของทั้งสองฝ่าย ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ไทย-สาธารณรัฐเกาหลีอีกด้วย

นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่สอดคล้องกับสาขาที่เกาหลีมีศักยภาพในการเข้ามาลงทุน ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตแบตเตอรี่ โดยจะได้ผลักดันความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานฝ่ายเกาหลี เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วตามที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้มอบหมายไว้

Categories
News

BMW Group ประเทศไทยเดินหน้าประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงในประเทศไทยสำหรับ EV

ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สำหรับการลงทุนประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งมาร่วมลงทุนกับแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ประเทศไทย เพื่อพัฒนาโรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงงานประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงแห่งเดียวในภูมิภาคอาเซียน ตั้งอยู่ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2

แบตเตอรี่แรงดันสูงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ประเภทไฮบริดหรือรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนและต้องใช้ทักษะเฉพาะด้านในการผลิต นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2561 บุคลากรจากแดร็คเซิลไมเออร์ กรุ๊ป ได้เข้าร่วมโปรแกรมอบรมและพัฒนาบุคลากรเพื่อการประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูง ณ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปในเมืองดิงกอลฟิง และโรงงานนำร่องการผลิตระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งมีความพร้อมแล้วสำหรับการประกอบแบตเตอรี่ที่ต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัย เพื่อการประกอบแบตเตอรี่อันเป็นเทคโนโลยีล่าสุด (เจนเนอเรชั่นที่ 4) เช่น การเชื่อมด้วยเลเซอร์ การเตรียมพื้นผิววัสดุด้วยพลาสมา วิทยาการหุ่นยนต์ กระบวนการยึดติด การตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ (AOI) การตรวจสอบการทำงานของระบบไฟฟ้า และการตรวจสอบคุณภาพเมื่อสิ้นสุดสายการผลิต นอกจากนี้ โปรแกรมการอบรมดังกล่าวยังครอบคลุมทักษะในการทำงานกับกระบวนการผลิตอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการประกอบโมดูลแบตเตอรี่ รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพโดยรวม การออกแบบกระบวนการและเทคโนโลยีการผลิต การปรับปรุงแก้ไขคุณภาพ และการวิเคราะห์กระบวนการผลิต

เมื่อเสร็จสิ้นการเรียนรู้และเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านการประกอบแบตเตอรี่แล้ว บุคลากรที่ผ่านการอบรมข้างต้นจะได้ทำงานกับชิ้นส่วนอย่างเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้าจากผู้ผลิตในภูมิภาคเอเชีย พร้อมด้วยชิ้นส่วนแบตเตอรี่นำเข้าอีกมากมาย ทั้ง โครงอะลูมิเนียม ระบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์และสายไฟ เพื่อประกอบแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ได้มาตรฐานระดับโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศของประเทศไทย เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการประกอบแล้ว แบตเตอรี่แรงดันสูงดังกล่าวจะถูกส่งไปยังโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่ระยอง เพื่อนำไปติดตั้งในรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 ซึ่งได้เริ่มต้นเฟสแรกไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

จุดเด่นของสายการผลิตในโรงงานแห่งนี้นั้นให้ความสำคัญกับทักษะของแรงงานผู้ทำการผลิต โดยระบบอัตโนมัติจะทำหน้าที่ในส่วนที่ความละเอียดของมนุษย์ไม่สามารถจัดการได้ เช่น การเชื่อมหรือการตรวจสอบรอยเชื่อม ซึ่งทำให้เห็นว่าโอกาสและพื้นที่ของแรงงานในยุคการผลิตสมัยใหม่นั้นยังมีความสำคัญอยู่ และระบบอัตโนมัตินั้นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในทุกกรณี การพัฒนาศักยภาพแรงงานที่เหมาะสมต่อรูปแบบผลิตภัณฑ์เป้าหมายต่างหากที่ทำให้สามารถผลิตชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานสูงได้ นอกจากนี้โรงงานยังมีพื้นที่การผลิตขนาดกะทัดรัดเหมาะสมต่อการควบคุมพื้นที่ปิดซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ได้ประกอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมาแล้ว 4 รุ่นด้วยกันคือ บีเอ็มดับเบิลยู 330e บีเอ็มดับเบิลยู 530บีเอ็มดับเบิลยู XxDrive40และบีเอ็มดับเบิลยู 740Le